วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

ส่งงานบทที่1 Hardware

จงบอกประเภทของแรม (RAM)
แรม(RAM) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

1.Static RAM (SRAM) ทำจากวงจรที่ใช้การเก็บข้อมูลด้วยสถานะ "มีไฟ" กับ "ไม่มีไฟ" ซึ่งจะเก็บข้อมูลไว้ได้ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังมีกระแสไฟเลี้ยงวงจรอยู่ นิยมนำไปใช้ทำเป็นหน่วยความจำแคช (Cache) ภายในตัว CPU เพราะมีความเร็วในการทำงานสูงกว่า DRAM มาก แต่ไม่สามารถทำให้มีขนาดความจุสูงๆได้ เนื่องจากมีราคาแพงและกินกระแสไฟมาก จนมักทำให้เกิดความร้อนสูง อีกทั้งวงจรก็ยังมีขนาดใหญ่ด้วย


2.Dynamic RAM (DRAM) ทำจากวงจรที่ใช้การเก็บข้อมูลด้วยสถานะ "มีประจุ" กับ "ไม่มีประจุ" ซึ่งวิธีนี้จะใช้ไฟน้อยกว่า SRAM มาก แต่โดยธรรมชาติแล้วประจุไฟฟ้าจะมีการรั่วไหลออกไปได้เรื่อยๆ ดังนั้น เพื่อให้ DRAM สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้ตลอดเวลาตราบเท่าที่ยังมีกระแสไฟฟ้าคอยเลี้ยงวงจรอยู่ จึงต้องมีวงจรอีกส่วนหนึ่งที่คอยทำหน้าที่ "เติมประจุ" ไฟฟ้าให้เป็นระยะๆ ซึ่งกระบวนการเติมประจุไฟฟ้านี้เราเรียกว่า รีเฟรช (Refresh) โดยหน่วยความจำประเภท DRAM นี้ นิยมเอาไปใช้ทำเป็นหน่วยความจำหลักของระบบในรูปแบบของชิปไอซี (Integrated Circuit) บนแผงโมดูลของ RAM หลายหลายชนิด เช่น 
SDRAM , DDR , DDR2 , DDR3 และ RDRAM เป็นต้น ซึ่งสามารถออกแบบให้มีขนาดความจุสูงๆได้ ราคาถูก กินไฟน้อยและไม่ทำให้เกิดความร้อนสูง



จงบอกประเภทของรอม(ROM) 
รอม(ROM) สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท  ดังนี้

1.PROM (PROGRAMMABLE READ-ONLY MEMORY)  ข้อมูลที่ต้องการโปรแกรมจะถูกโปรแกรมโดยผู้ใช้เอง โดยป้อนพัลส์แรงดันสูง (HIGH VOLTAGE PULSED) ทำให้ METAL STRIPS หรือ POLYCRYSTALINE SILICON ที่อยู่ในตัว IC ขาดออกจากกัน ทำให้เกิดเป็นลอจิก “1” หรือ “0” ตามตำแหน่ง ที่กำหนดในหน่วยความจำนั้นๆ เมื่อ PROM ถูกโปรแกรมแล้ว ข้อมูลภายใน จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก หน่วยความจำชนิดนี้ จะใช้ในงานที่ใช้ความเร็วสูง ซึ่งความเร็วสูงกว่า หน่วยความจำ ที่โปรแกรมได้ชนิดอื่นๆ


2.EPROM (ERASABLE PROGRAMMABLE READ-ONLY MEMORY)  ข้อมูลจะถูกโปรแกรม โดยผู้ใช้โดยการให้สัญญาณ ที่มีแรงดันสูง (HIGH VOLTAGE SIGNAL) ผ่านเข้าไปในตัว EPROM ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ใช้ใน PROM แต่ข้อมูลที่อยู่ใน EPROM เปลี่ยนแปลงได้ โดยการลบข้อมูลเดิมที่อยู่ใน EPROM ออกก่อน แล้วค่อยโปรแกรมเข้าไปใหม่ การลบข้อมูลนี้ทำได้ด้วย การฉายแสง อุลตร้าไวโอเลตเข้าไปในตัว IC โดยผ่าน ทางกระจกใส ที่อยู่บนตัว IC เมื่อฉายแสง ครู่หนึ่ง (ประมาณ 5-10 นาที) ข้อมูลที่อยู่ภายใน ก็จะถูกลบทิ้ง ซึ่งช่วงเวลา ที่ฉายแสงนี้ สามารถดูได้จากข้อมูล ที่กำหนด (DATA SHEET) มากับตัว EPROM และ มีความเหมาะสม ที่จะใช้ เมื่องานของระบบ มีโอกาส ที่จะปรับปรุงแก้ไขข้อมูลใหม่



3.EAROM (ELECTRICALLY ALTERABLE READ-ONLY MEMORY)  EAROM หรืออีกชื่อหนึ่งว่า EEPROM (ELECTRICAL ERASABLE EPROM) เนื่องจากมีการใช้ไฟฟ้าในการลบข้อมูลใน ROM เพื่อเขียนใหม่ ซึ่งใช้เวลาสั้นกว่าของ EPROM 
การลบข้อมูลขึ้นอยู่กับพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ดังนั้น EAROM (ELECTRICAL    ALTERABLE ROM) จะอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีแบบ NMOS ข้อมูลจะถูกโปรแกรมโดยผู้ใช้เหมือนใน EPROM แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ ข้อมูลของ EAROM สามารถลบได้โดยทางไฟฟ้าไม่ใช่โดยการฉายแสงแบบ EPROM  



วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การทำรูปภาพให้เป็นแสตมป์ ด้วย Photosho

1.สร้างไฟล์ใหม่ขึ้นมา แล้วเลือก เส้นปะสี่เหลี่ยมๆ จากเมนูtools (ดังภาพ) 
66.jpg
จากนั้นกด Shift ค้างไว้พร้อมกับลากเม้าส์ลงไปในพื้นที่ว่างของงานที่เราเพิ่งสร้าง สี่เหลี่ยมของเราจะได้ออกมาเป็นสีเหลี่ยมจัตุรัส(ดังภาพ)
01-4.jpg picture by doijan
เมื่อได้เส้นปะเป็นสี่เหลี่ยมอย่างในรูปแล้ว ก็กด Ctrl+C  จากนั้นกด Ctrl+V  เพื่อก็อปปี้พื้นที่ภายในเส้นปะและวางไว้ในเลเยอร์ใหม่
02-4.jpg picture by doijan


2.คลิกที่เลเยอร์ 1 เลือก     Layer > Layer Style > Drop Shadow… ตามภาพ
03-4.jpg picture by doijan
แล้วก็ตั้งค่าตามใจชอบ(ดังภาพ)  แล้วก็กด OK 
04-4.jpg picture by doijan




3.เพื่อให้ง่ายต่อการมองเห็นเลเยอร์ 1 กับแบ็คกราว คลิกเลือกไปที่เลเยอร์แบ็คกราว แล้วเทสีลงไป(สีอะไรก็ได้ตามใจชอบ) จะได้เห็นเส้นแบ่งชัดเจน
05-4.jpg picture by doijan




4.จากนั้นก็เลือกที่เลเยอร์ 1  แล้วเลือก ยางลบ จาก tools (ดังภาพ)
06-4.jpg picture by doijan07-4.jpg picture by doijan
แล้วกำหนดขนาดหัวยางลบให้ใหญ่พอประมาณ จากนั้นก็ลบ กรอบสี่เหลี่ยมให้เป็นหยักๆให้เหมือนแสตมป์จากนั้นทำให้ครบทุก 4 ด้าน(ดังภาพ)

09-2.jpg picture by doijan



5.เปิดรูปภาพที่เราต้องการใช้งานขึ้นมา
10-2.jpg picture by doijan

จากนั้นลากรูปที่เปิดขึ้นมา  เข้ามาไว้ที่กรอบรูปที่เราสร้างไว้ (ปรับขนาดของรูปภาพตามได้ใจชอบ)
11-3.jpg picture by doijan




6.นำรูปภาพข้างล่าง ไปใส่ไว้ที่มุมใดมุม 1 บนแสตมป์ที่เราทำไว้แล้ว
img7.gif picture by doijan




7.จากนั้นก็ลบส่วนที่มันเกินออกมาจากกรอบแสตมป์ แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ
14-2.jpg picture by doijan




ภาพที่สมบูรณ์แบบ  (เราสามารถเปลี่ยนสีพื้นหลังตามใจชอบ หรือจะใส่ลูกเล่นนอกเหนือจากนี้ก็ใส่ได้ตามใจชอบ)
15-1.jpg picture by doijan







วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วีดีโอเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี

http://www.youtube.com/watch?v=7H0K1k54t6A&feature=grec_index

ประวัติคอมพิวเตอร์ประเทศไทยและผู้บุกเบิก

เครื่องคอมพิวเตอร์ IBM 1620
         คอมพิวเตอร์ในประเทศไทย เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2506 โดย  ผู้ที่ริเริ่มนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ในประเทศไทยคนแรก คือศาสตราจารย์บัณฑิต กันตะบุตร หัวหน้าภาควิชาสถิติและเลขาธิการสถิติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2506 เครื่องที่ใช้ ครั้งแรกคือ เครื่อง IBM 1620 ( ในขณะนั้นประมาณสองล้านบาทเศษ) ซึ่งติดตั้งที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
         เริ่มใช้ในการศึกษา วิจัย การพัฒนาสถิติของประเทศ  เน้นในด้านการปฏิบัติงานสำมะโนและในด้านการค้นคว้า และวิจัยนานาประการ  หลายประเทศ เช่น มาเลเซีย ศรีลังกา และสิงคโปร์ก็สนใจส่ง เจ้าหน้าที่มาดูการ ปฏิบัติงานของเครื่องอีกด้วย เพราะประเทศของเขาเองยังไม่มี  โดยในปัจจุบัน (พ.ศ. 2554)เครื่องนี้อยู่ที่ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพฯ  

         นับจากวันนั้นมาคอมพิวเตอร์เมนเฟรมถูกนำเข้ามาใช้งานอย่างกว้างขวางตามหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัย และเป็นไอบีเอ็มอีกนั่นแหละที่ร่วมบุกเบิกคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปนำคอมพิวเตอร์ไปใช้งานทำบัญชี เขียนรายงาน นำเสนองาน วาดภาพ และจิปาถะ ก่อนขายธุรกิจคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโน้ตบุ๊กให้เลอโนโวสานต่อ
         จากเครื่องคอมพิวเตอร์แรก ก็มีวิวัฒนาการ Timeline ในการนำมาใช้ในประเทศไทยต่อมา ตามลำดับดังนี้
  • ปี พ.ศ.2507 เดือนมีนาคม เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่สอง ได้แก่ "เมนเฟรมคอมพิวเตอร์" IBM 1401 ( มูลค่าประมาณ 8 ล้านบาท ) ขนาดพอกับเครื่องถ่ายเอกสารประจำสำนักงาน   ติดตั้งที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ใช้งานเก็บบันทึกข้อมูลประชากร การนำมาประมวลผล การสำรวจสำมะโนประชากร เพื่อใช้กำหนดนโนบายเศรษฐกิจและสังคม  จากเดิมต้องใช้เวลานานหลายปี แต่เมื่อนำระบบคอมพิวเตอร์ประมวลผลสูงเข้ามาใช้ การรวบรวมข้อมูลประชากรทั่วประเทศสามารถทำเสร็จในเพียง 18 เดือน
เครื่องคอมพิวเตอร์ IBM 1401
  • ปี พ.ศ. 2507 ได้เริ่มนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย คือ บ.ปูนซีเมนต์ไทย กับ ธนาคารกรุงเทพ
  • ปี พ.ศ. 2517 ตลาดหลักทรัพย์ ได้นำคอมพิวเตอร์ไปใช้งาน ในด้านการซื้อขายหุ้น โดยใช้ เครื่องมินิคอมพิวเตอร์
  • ปี พ.ศ. 2522 : ได้นำ ไมโครคอมพิวเตอร์ ไปใช้ในธุรกิจขนาดเล็กมากขั้น
  • ปี พ.ศ. 2525 : ได้นำคอมพิวเตอร์มาใช้ในด้านการเรียนการสอน ได้แก่ มหาวิทยาลัย โรงเรียนต่างๆ และมีการเปิดสอนวิชาคอมพิวเตอร์กันอย่างแพร่หลาย

ศาสตราจารย์ บัณฑิต กันตะบุตร 
ผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ของประเทศไทย

        ศาสตราจารย์ บัณฑิตกันตะบุตร ผู้ซึ่งนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในประเทศไทยเป็นคนแรก และเป็นผู้ริเริ่มการสอนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในมหาวิทยาลัย ได้สิ้นชีวิต เมื่อวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2543

        ศาสตราจารย์ บัณฑิตกันตะบุตร เกิดที่จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2458 หลังจากเรียนจบชั้นมัธยม 8 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญกรุงเทพฯ ท่านเดินทางไปศึกษาต่อในประเทศฟิลิปปินส์ จนสำเร็จปริญญาตรี (B.S.) จาก Far Eastern University และ ปริญญาโท (M.S.) จาก The University of Philippines หลังจากนั้นท่านบินข้ามทวีป ไปศึกษาต่อ ณ.ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ the University of Chicago ได้รับปริญญา MBA เน้นหนักวิชาคณิตศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์

         ระหว่างที่ศาสตราจารย์ บัณฑิต กันตะบุตร ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) พร้อม ๆ กับเป็นผู้ก่อตั้ง และหัวหน้าภาควิชาสถิติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านมองเห็นศักยภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถปฏิวัติการศึกษา และการพัฒนาประเทศไทย ท่านจึงได้หาเงินทุนสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ และทรัพยากรอื่น ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อจัดหา และติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์สองระบบแรกของประเทศไทย คือ เครื่อง IBM 1620 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเครือ่ง IBM 1401 ที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ในเวลาไล่เลี่ยกัน ในปี พ.ศ.2506
เครื่องคอมพิวเตอร์ IBM 1620
เครื่องคอมพิวเตอร์ IBM 1401
         สำหรับการสอนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ศาสตราจารย์บัณฑิต กันตะบุตร ได้จัดหลักสูตรสอนการเขียน Machine Language, Symbolic Language, FORTRAN และ COBOL เป็นแห่งแรกของประเทศ ที่ภาควิชาสถิติ จุฬาลงกรณ์มาหวิทยาลัย โดยใช้เครื่อง IBM 1620 ให้นิสิตใช้เรียน และใช้วิ่งโปรแกรมได้เต็มที่ ขณะเดียวกันก็ยังมีสถาบันการศึกษาต่าง ๆ มาขอใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าว ทั้งเพื่อการเรียนการสอน และเพื่อการทำวิจัยมากกมาย
         กล่าวได้ว่า จากวิสัยทัศน์ที่ล้ำสมัยนี้ เป็นจุดเริ่มต้น ของการผลิตลุคลากรชั้นนำด้านไอที ให้กับประเทศ ซึ่งมีผลจนถึงทุกวันนี้ หลักสูตรคอมพิวเตอร์ที่ภาควิชาสถิตินี้ ยังเปิดโอกาสให้บุคคลภาคนอก เข้ารับการอบรมด้วย จึงเป็นแรงผลักดันสำคัญอย่างหนึ่ง ของการพัฒนาไอที และเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลาต่อมา ส่วนเครื่อง IBM 1401 ที่ สสช. ก็ใช้ปฏิบัติงานด้านประมวลข้อมูลจำนวนมาก ๆ เช่นงานสำมโนประชากรเป็นต้น
         ศาสตราจารย์ บัณฑิตกันตะบุตร ยังเป็นผู้บุกเบิกด้านธุรกิจประกันภัย และประกันชีวิต โดยที่ท่านเและภรรยา (อาจารย์ประภา กันตะบุตร) เป็นนักคณิตศาสตร์ประกันชีวิตรุ่นบุกเบิกของประเทศไทย
         ศาสตราจารย์ บัณฑิตกันตะบุตร ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และรางวัลมากมาย จากการรับใช้ชาติบ้านเมือง ล่าสุดท่านได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ทวิติยาภรณ์ช้างเผือก ท่านได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยสามสถาบันภายในประเทศ และได้รับ Professional Achievement Citation จากสมาคมศิษย์เก่าแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ศาสตราจารย์ บัณฑิตกันตะบุตร ไดัรับยกย่องให้เป็น บิดาของวิชาสถิติ และเป็นผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ของประเทศไทย

         ศาสตราจารย์ บัณฑิตกันตะบุตร มีภรรยาคือ อาจารย์ประภา กันตะบุตร ซึ่งท่านก็เป็นนักคณิตศาสตร์เช่นเดียวกับสามี และสืบตระกูลโดยบุตรชายสองคน คือ คุณบุรินทร์ และดร.วิฑิต และบุตรสาวคนเดียวคือ คุณจิตราภา หิมะทองคำ